แปลความหมายจากกราฟแแท่งเทียนแบบไม่ต้องจำ ทำอย่างไร?
กราฟแท่งเทียนเป็นประเภทของกราฟที่ได้รับความนิยมและถูกใช้มากที่สุดประเภทหนึ่ง
แต่เม่าน้อยเชื่อว่ามีเพื่อน ๆ
หลายคนที่เวลาที่วิเคราะห์กราฟแท่งเทียนพยายามจำรูปแบบแท่งเทียนเป็นจำนวนมาก ( ใครจะไปจำไหว เยอะอิ๊บอ๋าย ) แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อมูลจากกราฟแท่งเทียนที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการเทรดได้อย่างเต็มที่
ในบทความนี้เม่าน้อยจะมาบอกเคล็ดลับส่วนตัวในการอ่านกราฟแท่งเทียน
และการแปลความหมายในมุมมองทางเทคนิคของกราฟแท่งเทียน
โดยตั้งใจไว้ว่าอยากแชร์ไอเดียและประสบการณ์ในการอ่านกราฟแท่งเทียน
ที่คิดว่าน่าจะทำให้เพื่อน ๆ สามารถอ่านกราฟแท่งเทียนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
โดยไม่ต้องไปนั่งจำชื่อ หรือจำ Pattern ต่าง ๆ เพราะส่วนตัวเวลาที่วิเคราะห์กราฟแท่งเทียนเม่าน้อยจะเน้นไปที่การทำความเข้าใจและหลักการของแปลความหมายกราฟแท่งเทียนมากกว่าการใช้ความจำ
ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยครับ
เราอ่านกราฟแท่งเทียนไปทำไม?
วัตถุประสงค์ในการอ่านกราฟแท่งเทียน
คือ การอ่าน “อารมณ์” ของผู้ที่เข้ามาซื้อขายในตลาด ดังนั้นเวลาที่อ่านกราฟแท่งเทียนเราควรตอบคำได้เบื้องต้นไห้ได้ว่า
ระหว่างฝั่งซื้อกับฝั่งขายฝั่งไหนมีแรงมากกว่า
ฝั่งไหนที่มีความรีบร้อนกระตือรือร้นอยากลงมือซื้อขายกว่า
เมื่อเราอ่านอารมณ์ของตลาดออกแล้ว เราก็จะสามารถตัดสินใจลงมืออย่างไร เพื่อให้ได้โอกาสในการได้กำไรจากการเทรดมากกว่าโอกาสขาดทุน
การแปลความหมายจากกกราฟแท่งเทียนโดยวิเคราะห์รูปแท่งเทียนเพียง
1 แท่ง
อาจจะยังให้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงมือเทรด เราจะต้องพิจาณาแท่งเทียนหลาย
ๆ แท่งประกอบกัน ซึ่งจะใช้ข้อมูลพื้นฐานทั้ง 4 อย่างของแต่ละแท่งเทียน
คือ ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด มาเปรียบเทียบกันระหว่างแท่งเทียนแต่ละแท่งด้วยการอ่านกราฟแท่งเทียนไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แม่นยำ
แต่เป็นการระบุสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นเราค่อยนำข้อมูลที่ได้ไปต่อยอดว่าควรจะทำอะไรหรือลงมือเทรดอย่างไรในขั้นตอนต่อไป
เวลาที่เม่าน้อยอ่านกราฟแท่งเทียน เม่าน้อยจะลองตั้งคำถามเบื้องต้น 8 ข้อ ซึ่งหลังจากที่ตอบคำถามเหล่านี้แล้ว มันช่วยให้เม่าน้อยได้มุมมองว่าคนที่เข้ามาซื้อขายในตลาดมีอารมณ์อย่างไร
และข้อมูลที่ได้มีประโยชน์อย่างมากในการประกอบการตัดสินใจลงมือเทรด
ซึ่งคำถามเหล่านั้น ได้แก่
คำถามที่ 1:
ในแท่งเทียนแต่ละแท่ง ผลการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อกับแรงขาย
ฝั่งไหนเป็นฝ่ายชนะ?
คำถามนี้จะเป็นการวิเคราะห์เฉพาะแท่งเทียนนั้น
ๆ เพียงแท่งเดียวก่อน ซึ่งวิธีการที่จะบอกว่าในแต่ละแท่งเทียนฝั่งไหนเป็นฝ่ายชนะ
ทำได้โดยแบ่งความยาวของแท่งเทียน (วัดจากราคาสูงสุดถึงราคาต่ำสุด) ออกออกเป็น 3
ส่วนเท่าๆ กัน แล้วดูว่าราคาปิดอยู่ในช่วงไหน
1.1 ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนนั้นๆ
อยุ่ในช่วง ⅓ ของด้านบน แปลว่าแรงซื้อมีความกระตือรือร้นออกแรงมากกว่าหรือมีจำนวนมากกว่า
เราจะสรุปว่าในแท่งเทียนรูปนั้นแรงซื้อเป็นฝ่ายชนะ
1.2 ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนนั้นๆ
อยู่ในช่วง ⅓ ของตรงกลาง เราจะสรุปว่าในแท่งเทียนรูปนั้นแรงซื้อแรงขายพอๆกัน
1.3 ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนนั้นๆ อยู่ในช่วง
⅓ ของด้านล่าง แปลว่าแรงขายมีความกระตือรือร้นออกแรงมากกว่า
หรือมีจำนวนมากกว่า เราจะสรุปว่าในแท่งเทียนรูปนั้นแรงขายเป็นฝ่ายชนะ
รูปแสดงตัวอย่างของแท่งเทียนที่มีราคาปิดอยู่ใน
ช่วง 1/3 ด้านบน ,ช่วง 1/3
ตรงกลาง และช่วง 1/3 ด้านล่าง
หมายเหตุ : การสรุปผลของแรงซื้อแรงขายของแท่งเทียนแต่ละแท่งด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับแท่งเทียนที่มีขนาดยาวเท่านั้น
ถ้าเป็นแท่งเทียนขนาดสั้น ๆ การตีความให้อ่านจากเนื้อหาในคำถามที่ 2
คำถามที่ 2
: แท่งเทียนแต่ละแท่งมีความยาวมากหรือน้อย?
ความแตกต่างระหว่างราคาสูงสุดถึงราคาต่ำสุดในแต่ละช่วง สามารถใช้พิจารณาความผันผวนของราคาในช่วงนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งถ้าจะดูข้อมูลนี้จากรูปแท่งเทียน
สามารถดูได้จากความยาวของรูปแท่งเทียนในแต่ละแท่งนั่นเอง
2.1 แท่งเทียนที่มีความยาวมาก คือ แท่งเทียนที่ราคาสูงสุดกับราคาต่ำสุดห่างกันมาก แปลความหมายได้ว่าแท่งเทียนแท่งนั้นๆ
แสดงให้เห็นว่าความรีบร้อนกระตือรือร้นในการซื้อขายของฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรืออาจจะเป็นทั้งสองฝั่ง
จึงซื้อขายไม่เกี่ยงราคา หรือมีการไล่ราคาซื้อขายกันอย่างผันผวน
2.2 แท่งเทียนมีลักษณะสั้นๆ เล็กๆ คือ แท่งเทียนที่จุดสูงสุดกับจุดต่ำสุดห่างกันไม่มาก
แปลความหมายได้ว่าแท่งเทียนแท่งนั้นๆ
ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกไปในทิศทางไหน
จึงลงมือซื้อขายกันอยู่ในกรอบแคบ ๆ ไม่อยากซื้อขายในลักษณะไล่ราคา
ราคาจึงไม่ผันผวน
คำถามที่ 3
: ปริมาณการซื้อขายของแท่งเทียนแต่ละแท่งเป็นอย่างไร?
ปริมาณการซื้อขายของแต่ละแท่งเทียนเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้บอกว่าในแท่งเทียนแต่ละแท่งนั้น
มีคนให้ความสนใจหรือเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขายมากหรือน้อย แท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายที่มากเป็นตัวบอกว่ามีคนสนใจเข้าร่วมซื้อขายจำนวนมาก
จึงช่วยเสริมความมั่นใจและเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ทิศทางของราคามากยิ่งขึ้น ส่วนแท่งเทียนที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยบ่งบอกว่ามีคนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมน้อย
จึงมีความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ทิศทางของราคาน้อย
ให้ระมัดระวังในการแปลผลหรือให้หลีกเลี่ยง
ตัวอย่างการวิเคราะห์แท่งเทียนร่วมกับปริมาณการซื้อขาย
ได้แก่
3.1 แท่งเทียนที่มีขนาดยาวและปริมาณการซื้อขายมาก แสดงว่ามีคนสนใจหรือเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขายเป็นจำนวนมากภายในแท่งเทียนนั้น
จึงช่วยเสริมความมั่นใจในการสรุปผลระหว่างแรงซื้อกับแรงขายของแท่งนั้น ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบแท่งเทียนที่เป็นแท่งโปร่ง
(แท่งสีเขียว) ขนาดยาว และราคาปิดอยู่ในช่วง ⅓ ด้านบน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายมาก ๆ
สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า แท่งเทียนแท่งนั้นแรงซื้อชนะแรงขาย
และเป็นแท่งเทียนที่บอกถึงทิศทางขาขึ้น
หรือ ถ้าเราพบแท่งเทียนที่เป็นแท่งทึบ (แท่งสีแดง)
ขนาดยาว และราคาปิดอยุ่ในช่วง ⅓ ด้านล่าง พร้อมกับปริมาณการซื้อขายมาก ๆ เราก็สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่า
แท่งเทียนแท่งนั้นแรงขายชนะแรงซื้อ และเป็นแท่งเทียนที่บอกถึงทิศทางขาลง
3.2 แท่งเทียนที่มีขนาดยาวแต่มีปริมาณการซื้อขายน้อย แสดงว่ามีคนสนใจเข้ามามีส่วนร่วมน้อย ให้ระมัดระวัง เช่น
ถ้าเราพบแท่งเทียนที่เป็นแท่งโปร่งขนาดยาว แต่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
ให้เราระวังว่าการที่ราคาเพิ่มขึ้นนี้อาจจะไม่ยั่งยืนเป็นการขึ้นแบบหลอก ๆ
เพราะราคาที่เพิ่มขึ้นฝั่งซื้อก็เก็บของได้จำนวนไม่มาก
ส่วนฝั่งขายก็ยังขายก็ยังขายของออกมาเพียงนิดเดียว
ดังนั้นถ้าราคามีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ฝั่งซื้อก็อาจจะไม่ค่อยอยากไล่ราคาเพราะไม่มีของต้นทุนต่ำในมือ
แต่ราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นจะจูงใจให้ฝั่งขายที่ยังมีของเหลืออยู่มากก็อาจจะเริ่มสนใจขายมากขึ้น
เป็นต้น
3.3 แท่งเทียนที่มีขนาดสั้นแต่ปริมาณการซื้อขายมาก การที่มีคนเข้ามามีส่วนร่วมมากๆ ในราคาช่วงแคบ ๆ
แสดงให้เห็นว่ากำลังมีแรงซื้อเป็นจำนวนมาก และมีแรงขายทิ้งออกมาเป็นจำนวนมาก
ด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้มีซื้อขายเปลี่ยนมือเยอะ
ดังนั้นจึงเป็นแท่งเทียนที่มีความน่าสนใจ
ว่าในอนาคตถ้าฝั่งซื้อหรือฝั่งขายเริ่มหมดแรงและยอมตัดสินใจเลือกให้ราคาเคลื่อนที่ไปข้างใดข้างหนึ่ง
ราคาก็อาจจะมีการเคลื่อนที่ขึ้นแรง หรือลงอย่างรวดเร็ว
3.4 แท่งเทียนที่มีขนาดสั้นและมีปริมาณการซื้อขายน้อย แปลว่าไม่มีคนสนใจ หรือ มีคนสนใจน้อยและซื้อขายกันในช่วงแคบๆ
ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากนัก
คำถามที่ 4
: แท่งเทียนส่วนใหญ่ (หลาย ๆ แท่ง) บอกว่าฝั่งไหนมีแรงมากกว่า
โดยเฉพาะแท่งเทียนที่มีขนาดยาว?
แท่งเทียนในปัจจุบันส่วนใหญ่ควรแสดงอารมณ์ในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มของตลาด
เช่น ควรจะมีแท่งเทียนเป็นแท่งโปร่งจำนวนมากกว่าในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น
หรือควรจะมีแท่งเทียนที่เป็นแท่งทึบจำนวนมากกว่าในตลาดขาลง
ก็สามารถมั่นใจได้ว่าแนวโน้มตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
4.1 ในช่วงตลาดหุ้นขาขึ้น รูปแท่งเทียนจะแสดงให้เห็นว่ามีความต้องการซื้อเป็นจำนวนมาก รูปแท่งเทียนส่วนใหญ่ควรจะเป็นแท่งโปร่ง(สีเขียว)ยาว ซึ่งเป็นรูปแท่งเทียนที่ให้ข้อมูลว่ามีแรงซื้อมาก หรือราคาปิดอยู่ใน ⅓ ช่วงบนของแท่ง เพื่อยืนยันว่าแรงซื้อเป็นฝ่ายชนะในแท่งเทียนนั้น ๆ
ในกรณีที่เป็นแท่งทึบก็มักจะเป็นแท่งเล็ก ๆ ที่มีความยาวไม่มาก
4.2 ในช่วงตลาดขาลง รูปแท่งเทียนจะแสดงให้เห็นว่ามีความต้องการขายจำนวนมาก
รูปแท่งเทียนส่วนใหญ่จะเป็นแท่งทึบ(สีแดง)ยาว ซึ่งเป็นรูปแท่งเทียนที่ให้ข้อมูลว่ามีแรงขายมาก
หรือราคาปิดอยู่ใน ⅓ ช่วงล่างของแท่ง เพื่อยืนยันว่าแรงขายเป็นฝ่ายชนะในแท่งเทียนนั้น ๆ
ในกรณีที่เป็นแท่งโปร่งก็มักจะเป็นแท่งเล็ก ๆ ที่มีความยาวไม่มาก
มีข้อสังเกตุอีกอย่างหนึ่งที่เม่าน้อยมักจะสังเกตแท่งเทียนร่วมกับทิศทางของแนวโน้มไปด้วยคือ ไส้เทียนที่แสดงถึงอารมณ์ตรงข้ามกับทิศทางของแนวโน้มราคาในปัจจุบัน ซึ่งในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งเม่าน้อยจะไม่ชอบเห็นแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาว
ๆ ทางด้านบน
เพราะเป็นข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าฝั่งขายเริ่มมีการออกแรงขัดขืนให้เห็นจึงทำให้ในขณะที่ทิศทางแนวโน้มยังเป็นขาขึ้น
ส่วนในแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งเม่าน้อยก็มักจะไม่ชอบเห็นแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาว
ๆ ทางด้านล่างด้วยเช่นเดียวกัน
คำถามที่ 5
: ข้อมูลราคาเปิดปิดสูงต่ำของแท่งเทียนในปัจจุบันเทียบกับข้อมูลเปิดปิดสูงต่ำของแท่งเทียนแท่งก่อนหน้าเป็นอย่างไร?
การนำข้อมูลทั้ง 4
อย่างได้แก่ ราคาเปิด (O) ราคาสูงสุด (H)
ราคาต่ำ (L) และสุดราคาปิด (C) ของแท่งเทียนปัจจุบันและแท่งเทียนก่อนหน้ามาเปรียบเทียบกันจะให้ข้อมูลของแรงซื้อกับแรงขายกับเรา
ดังนี้
5.1 เปรียบเทียบราคาเปิด (O) แท่งเทียนปัจจุบัน กับ ราคาปิด (C) ของแท่งเทียนก่อนหน้า
ถ้าราคาเปิดของแท่งเทียนปัจจุบันอยู่สูงกว่าราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า
แปลว่าช่วงเริ่มต้นของแท่งเทียนปัจจุบัน
ฝั่งซื้อมีความรีบร้อนอยากซื้อมากกว่าฝั่งขาย
แต่ถ้าราคาเปิดของแท่งเทียนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า
ก็แปลว่าช่วงเริ่มต้นของแท่งเทียนปัจจุบัน
ฝั่งขายมีความรีบร้อนอยากขายมากกว่าฝั่งซื้อ
5.2 เปรียบเทียบราคาต่ำสุด (L) ของแท่งเทียนปัจจุบัน กับ ราคาต่ำสุด (L) ของแท่งเทียนก่อนหน้า
ในช่วงทิศทางแนวโน้มเป็นขาขึ้นเราชอบที่จะเห็นราคาต่ำสุดของแท่งเทียนปัจจุบันอยู่สูงกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
(ราคาต่ำสุดยกสูงขึ้นเรื่อยๆ) หรืออย่างน้อยราคาต่ำสุดของแท่งเทียนปัจจุบันไม่ควรต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
การที่ราคาต่ำสุดของแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
แปลความหมายได้ว่าแรงซื้อไม่กระตือรือร้นอยากซื้อ
แต่แรงขายกับรีบร้อนขายมากกว่าจึงทำให้ราคาลดต่ำลงมาก
ให้ความรู้สึกอารมณ์เหมือนช่วงแนวโน้มทิศทางขาลงมากกว่า
5.3 เปรียบเทียบราคาสูงสุด (H) ของแท่งเทียนปัจจุบัน กับ ราคาสูงสุด (H) ของแท่งเทียนก่อนหน้า
ในช่วงทิศทางแนวโน้มขาขึ้นถ้าราคาสูงสุดของแท่งเทียนปัจจุบันสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
และราคาปิดของแท่งเทียนปัจจุบันสูงกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้าก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าหุ้นยังเป็นขาขึ้น
ในช่วงทิศทางแนวโน้มขาลงเป็นขาลงเราก็ชอบที่จะเห็นราคาสูงสุดของแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
(ราคาสูงสุดลดต่ำลง)
หรืออย่างน้อยราคาสูงสุดของแท่งเทียนปัจจุบันไม่ควรสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
และถ้าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่าราคาต่ำของแท่งเทียนก่อนหน้า
และราคาปิดของแท่งเทียนปัจจุบันต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้าก็จะยิ่งยืนยันว่ายังเป็นทิศทางแนวโน้มขาลง
รูปที่ตัวอย่างของแท่งเทียนที่ราคาต่ำสุดยกสูงขึ้นในช่วงหุ้นขาขึ้น
และแท่งเทียนที่ราคาสูงสุดลดต่ำลงในช่วงหุ้นขาลง
คำถามที่ 6
: กลุ่มของแท่งเทียนหลายแท่งมีราคาทับซ้อนกันมากหรือน้อย (Trend
หรือ Sideways)?
6.1 กลุ่มของแท่งเทียนที่ราคามีการทับซ้อนกันมาก แปลว่า ระดับราคาที่มีการซื้อขายในแต่ละแท่งเทียนใกล้เคียงกันแตกต่างกันไม่มาก
แสดงให้เห็นอารมรณ์ของแรงซื้อกับแรงขายที่ไม่มีฝั่งไหนรีบร้อนซื้อขายหุ้น
จากรูปแท่งเทียนหลายๆ
แท่งที่มีการทับซ้อนกันจึงสรุปได้ว่าเป็นช่วงที่ราคาเป็นช่วงพักฐาน (Sideways) ถึงแม้จะแท่งเทียนขนาดยาวจำนวนมากก็ตาม
6.2 กลุ่มของแท่งเทียนที่ราคาทับซ้อนกันน้อย แปลว่า ระดับราคาที่มีการซื้อขายในแต่ละแท่งเทียนแตกต่างกัน
อาจเป็นการไล่ราคาให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นการทุบราคาให้ลดต่ำลงเรื่อยๆก็ได้
ซึ่งแสดงให้เห็นอารมณ์ว่าแรงซื้อแรงขายมีความรีบร้อนในการซื้อหุ้น
จึงสรุปได้ว่าเป็นช่วงราคาที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trend)
ในกรณีที่แรงซื้อเป็นฝั่งที่รีบร้อนอยากซื้อหุ้นจะไม่รอให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแล้วค่อยซื้อเพราะกล้วว่าจะเสียโอกาส
เราจึงเห็นได้ว่าแท่งเทียนแต่ละแท่งจะมีการปรับตัวสูงขึ้นและมีการทับซ้อนของราคาน้อยโดยราคาต่ำสุดของแท่งเทียนแท่งใหม่จะเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
การประยุกต์เพื่อใช้งานในสถานการณ์ซื้อขายจริง
เมื่อเราเห็นกลุ่มของแท่งเทียนที่เป็นขาขึ้นแล้วมีการทับซ้อนกันของราคาน้อย ๆ
จึงให้ข้อมูลกับเราว่าแรงซื้อยังมีความรีบร้อนในการเข้าซื้ออยู่
ถ้าเรามีของอยู่ก็สบายใจได้ไม่ต้องรีบร้อนที่จะขายเพื่อทำกำไร
ในกรณีกลับกันถ้าแรงขายเป็นฝั่งที่รีบร้อนอยากขายหุ้น
ฝั่งขายก็ไม่ควรรอให้ราคาหุ้นเด้งขึ้นเพื่อขายทิ้ง แต่ควรจะยอมตัดใจขายได้ทันที
ในสถานการณ์นี้กลุ่มของแท่งเทียนที่เราเห็น
ราคาสูงสุดของแท่งเทียนแท่งใหม่ควรจะอยู่ใกล้กับระดับราคาต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า
การประยุกต์เพื่อใช้งานในสถานการณ์ซื้อขายจริง เมื่อเราเห็นกลุ่มของแท่งเทียนที่เป็นขาลงแล้วมีการทับซ้อนกันของราคาน้อยๆ
เราก็ไม่ควรรีบร้อนเข้าไปซื้อ
รูปแสดงตัวอย่างกลุ่มของแท่งเทียนที่มีการทับซ้อนกันมาก และกลุ่มของแท่งเทียนที่มีการทับซ้อนกันน้อย
รูปที่แสดงตัวอย่างกลุ่มของแท่งเทียนที่มีการทับซ้อนกันมาก
และกลุ่มของแท่งเทียนที่มีการทับซ้อนกันน้อยในช่วงหุ้นขาขึ้น (ที่มา Aspen
Mobile)
รูปแสดงตัวอย่างกลุ่มของแท่งเทียนที่มีการทับซ้อนกันน้อยในช่วงหุ้นขาลง
(ที่มา Aspen Mobile)
คำถามที่ 7
: อารมณ์ของแท่งเทียนในปัจจุบันเปรียบเทียบกับแท่งเทียนหลายๆ แท่งก่อนหน้าเป็นอย่างไร?
แท่งเทียนแท่งล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของแรงซื้อและแรงขายที่แตกต่างจากอารมณ์ของแท่งเทียนหลาย
ๆ แท่งก่อนหน้า เป็นจุดเริ่มต้นชวนให้สงสัยว่า
แรงซื้อหรือแรงขายที่มีก่อนหน้านี้เริ่มที่จะลดความกระตือรือร้นในการซื้อหรือขายแล้วใช่หรือไม่
รูปที่แสดงตัวอย่างแท่งเทียนที่มีอารมณ์ตรงข้ามกับแท่งเทียนหลายๆแท่งก่อนหน้า
หลายๆ
ครั้งเมื่อเราพบแท่งเทียนแท่งล่าสุดที่มีอารมณ์ตรงข้ามกับอารมณ์ของแท่งเทียนหลายๆ
แท่งก่อนหน้า
จะเป็นจุดที่ราคามีการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นหรือกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง เช่น
กรณีที่หุ้นก่อนหน้านี้เป็นขาลง
โดยเห็นว่าแท่งเทียนก่อนหน้านี้หลายแท่งแสดงถึงความเร่งรีบขายหุ้นของฝั่งแรงขาย
แต่ปรากฏว่าแท่งเทียนที่ปัจจุบันกลับเป็นแท่งเทียนที่แสดงถึงฝั่งซื้อมีความรีบร้อนซื้อหุ้น
และฝั่งแรงซื้อเป็นฝั่งชนะ แท่งเทียนแท่งใหม่ที่เราเห็นนี้จึงเป็นจุดเตือนที่ดีว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
แท่งเทียนแท่งนี้อาจจะเป็นจุดที่หุ้นจะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
จากนั้นเราก็ติดตามการซื้อขายหุ้นตัวนั้นอย่างใกล้ชิดและวางแผนกลยุทธ์การเพื่อให้ได้จังหวะซื้อขายที่ดีต่อไป
รูปตัวอย่างแท่งเทียนแบบ
Bearish Pattern
รูปตัวอย่างแท่งเทียนแบบ
Bullish Pattern
คำถามที่ 8
: ลองปรับ Time Frame ให้สั้นลง
เพื่อดูให้รายละเอียดการเคลื่อนที่ของราคาที่มากขึ้นว่าเป็นอย่างไร?
สำหรับคนที่ยังไม่ชำนาญการอ่านกราฟแท่งเทียนหลังจากตอบคำถามทั้ง
7 ข้อด้านบนแล้วยังได้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจเทรด
เม่าน้อยขอแนะนำวิธีที่ได้ผลดีมาก ๆ วิธีหนึ่ง คือ ลองปรับ Time Frame ให้สั้นลง แล้วเราจะเห็นรายละเอียดการเคลื่อนที่ของราคาได้ละเอียดขึ้น เช่น
กรณีที่เราวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนโดยใช้ Time
Frame 1 วัน (1 Day) แปลว่า แท่งเทียน 1
แท่งแทนการซื้อขายของราคาใน 1 วัน
แต่ถ้าเราปรับ Time Frame ให้สั้นลงเป็น 1 ชั่วโมง (1 Hour) ใน ระยะเวลา 1 วันเราจะเห็นรูปแท่งเทียนหลายแท่ง
จึงทำให้เราเห็นการเคลื่อนที่ของราคาได้ละเอียดขึ้นนั่นเอง
รูปตัวอย่างการปรับ
Time Frame ให้สั้นลง
ทำให้เห็นรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น
สรุปการอ่านกราฟแท่งเทียน
การอ่านกราฟแท่งเทียนมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจถึงอารมณ์ของคนที่เข้ามาซื้อขายในตลาด
การอ่านกราฟให้รู้ถึงอารมณ์ของแรงซื้อกับแรงขายในตลาดนั้นจะพิจารณาจาก
1. รูปร่างของแท่งเทียน 1 แท่ง โดยการเปรียบเทียบราคาปิดของวันว่าฝั่งแรงซื้อหรือฝั่งแรงขายเป็นฝ่ายชนะ
2. ความยาวของแท่งเทียน
โดยแท่งเทียนที่มีความยาวจะบอกว่าแรงซื้อหรือแรงขายมีความรีบร้อนในการซื้อขายจึงทำให้ราคามีความผันผวน
แท่งเทียนสั้นๆ แสดงถึงความเอื่อยเฉื่อยขาดความกระตือรือร้นของทั้งสองฝั่ง
3. ปริมาณการซื้อขายที่มากของแท่งเทียนจะเป็นตัวเสริมความมั่นใจในการแปลความหมายแท่งเทียนนั้นๆ
เนื่องจากมีคนสนใจและเข้ามามีส่วนร่วมซื้อขายเป็นจำนวนมาก
ถ้าปริมาณการซื้อขายน้อยให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าอารมณ์หรือทิศทางของราคานั้นๆ
อาจจะอยู่ได้ไม่นานเพราะมีคนเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขายน้อย
4. การเปรียบเทียบระหว่างแท่งเทียน
โดยเปรียบเทียบแท่งเทียนในปัจจุบันกับแท่งเทียนก่อนหน้า เช่น
แท่งเทียนส่วนใหญ่มีอารมณ์ไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
5. ราคาต่ำสุดในแต่ละแท่งเทียนยกตัวขึ้นในช่วงหุ้นขาขึ้นหรือไม่
ราคาสูงในแต่ละแท่งเทียนลดต่ำลงในช่วงหุ้นขาลงหรือไม่
เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มทิศทางของราคาหุ้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
6. กลุ่มของแท่งเทียนมีการทับซ้อนกันของแท่งเทียนมากหรือน้อย
เพื่อดูว่าแรงซื้อและแรงขายมีความรีบร้อนในการซื้อหรือขายหุ้นหรือไม่
7. และถ้าเราพบว่ามีแท่งเทียนแท่งใหม่ที่มีอารมณ์ของแรงซื้อแรงขายที่ตรงข้ามกับทิศทางของแท่งเทียนจำนวนหลายๆแท่งก่อนหน้า
จะเป็นจุดที่ราคามีการกลับตัว
จึงควรให้ติดตามการซื้อขายหุ้นตัวนั้นอย่างใกล้ชิดเพื่อหาจังหวะในการซื้อขาย
8. ลองเปลี่ยน Time Frame ให้สั้นลงเพื่อให้เห็นรายละเอียดการเคลื่อนที่ของราคาที่เพิ่มมากขึ้น
การอ่านกราฟแท่งเทียนจะเม่าน้อยแนะนำให้ลองตอบคำถามทั้ง
8 ข้อประกอบกัน
โดยไม่ดูข้อใดข้อหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
เพื่อจะทำให้เห็นทั้งภาพที่ชัดเจนกว่าการวิเคราะห์แท่งเทียนเพียงแท่งเดียว
และภาพกว้างจากวิเคราะห์กลุ่มของแท่งเทียน